คำอ้อนวอนจาก”ลีชองเหว่ย”
สำหรับโลกแบดมินตัน “ลีชองเหว่ย” คือนักแบดมินตันหมายเลข 1 ของโลกอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่แน่นอนว่า สิ่งที่นักกีฬาทุกคนต้องเตรียมตัวก็คือ การเลิกราเมื่อถึงวันและวัยที่เหมาะสม
เช่นเดียวกับ ”เทพลี” ซึ่งถือเป็น”พี่ชายคนโต”ของทีมแบดมินตันมาเลเซีย วันนี้ ในวัย 34 ถือเป็นช่วง”นับถอยหลัง”ของการเตรียมแขวนแร็คเก็ต และเก็บเกียรติประวัติให้นักแบดมินตันหรือผู้หลงใหลกีฬาลูกขนไก่ชื่นชมในวันหน้า และนี่เป็นการเปิดใจครั้งแรกกับ Sin Chew Daily หลังการพักผ่อนช่วงปีใหม่ของเขา โดยเขาบอกว่า “เมื่อผมเลิกเล่น โปรดอย่าลืมผม”
|
|
แม้จะ”เตรียมตัว”ที่จะเลิกเล่น แต่สิ่งที่”ลีชองเหว่ย”ไม่เคยเลิกฝันก็คือการลงสนามและคว้าชัยชนะทุกเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดการโลดแล่นในคอร์ตเขียวในฐานะผู้เล่นทีมชาติมานาน 17 ปี และมุ่งมั่นที่จะเป็น”มือ 1 โลก”ให้นานที่สุด
แน่นอนว่า 3 เหรียญเงินในการแข่งขันชายเดี่ยวโอลิมปิก 3 ครั้ง คือประวัติศาสตร์ที่โลกต้องบันทึก รวมทั้งการคว้าแชมป์ชายเดี่ยวมากที่สุดเท่าที่เคยมีนักแบดมินตันคนไหนเคยทำได้ และการเป็นนักแบดมินตันยอดเยี่ยมของโลก 5 ครั้ง
คำถามแรกที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ “เทพลี” จะไปร่วมแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่นหรือไม่ ซึ่งลีชองเหว่ยไม่ถึงกับยอมรับหรือปฏิเสธ โดยบอกเพียงว่า ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเมื่อถึงเวลานั้น
“หลายคนหวังและอยากเห็นผมเล่น แต่มันจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผม แต่ตอนนี้ การบาดเจ็บ(ในการแข่งขัน Superseries Finals ที่ดูไบเมื่อปลายปี) ทำให้ผมเริ่มคิดถึงการเตรียมเลิกเล่น” |
เมื่อถามถึงความสำเร็จของเขา ลีชองเหว่ย ตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับการเป็นมือ 1 ของโลก หรือเป็นวีรบุรุษของประเทศ ที่ผมทำก็คือต้องการทำให้ให้ที่ดีที่สุด และผมไม่เคยเสียใจที่เลือกเล่นแบดมินตัน”
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของเขาไม่ได้ราบรื่นเหมือนเดินบนพรม เพราะเมื่อปี 2015 “ลีชองเหว่ย” กลายเป็น”ข่าวใหญ่”ของวงการกีฬา เมื่อถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้น และถูกห้ามลงสนามถึง 8 เดือน
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดสำหรับ”ลีชองเหว่ย”
เพราะเรื่องที่เป็น”แผลในใจ”และเป็นวันมืดมนที่สุดในชีวิตนักแบดมินตันของเขาก็คือ เหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2012 เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้าในการแข่งขันโธมัสคัพ
"ผมไม่ได้เล่นนาน 3-4 เดือน จนหวาดกลัวที่จะลงสนาม ผมเกือบแพ้นักแบดมินตันจากฟินแลนด์ในเกมแรก ในตอนนั้นผมหวาดกลัวมาก และคิดว่าคงจะไม่ได้ไปแข่งในกีฬาโอลิมปิกในปี 2016”
การพ่ายแพ้”หลินตัน” ซูเปอร์สตาร์จากจีนในรอบชิงเหรียญทองโอลิมปิก 2012 สำหรับลีชองเหว่ย คือการกล้าเผชิญกับความจริง และไม่ยอมแพ้ที่จะไปโอลิมปิกครั้งต่อไป
|
|
"สื่อของจีนบอกว่าผมได้แชมป์มากมาย มีเพียงโอลิมปิกเท่านั้นที่ผมไม่ได้เหรียญทอง แต่สำหรับผม การได้เล่นในรอบชิงโอลิมปิก 3 ครั้ง ในขณะที่บางคนไม่เคยได้ร่วมแม้แต่ครั้งเดียว อย่าลืมว่าแม้แต่หลินตันก็ทำไม่ได้ในการเล่นมานานถึง 16 ปี”
ส่วนแผนงานหลังเลิกเล่น “ลีชองเหว่ย” บอกว่า เขาอาจจะเปิดโรงเรียนสอนแบดมินตันเพื่อสร้างนักแบดมินตันรุ่นใหม่ให้กับมาเลเซีย รวมทั้งจะทำธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบดมินตัน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าจะทำอะไร |
ส่วน”ลูกชาย” 2 คนของเขาและภรรยาที่เป็นอดีตนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวมือ 1 ของมาเลเซียนั้น ลีชองเหว่ย อธิบายว่าเขาเลี้ยงลูกแบบ”ติดดิน” โดยให้ลูกๆไปโรงเรียนโดยรถประจำทางและให้อิสระ รวมทั้งไม่คาดหวังว่าลูกจะเล่นแบดมินตันตามรอบยพ่อกับแม่หรือไม่ เพราะเด็กๆควรจะมีสิทธิ์เลือกเล่นกีฬาที่พวกเขาชื่นชอบเอง
คำตอบของ”ลีชองเหว่ย”ครั้งนี้ อาจจะยังทำให้แฟนแบดมินตันทั่วโลกมีความสุขที่อาจจะเห็นเขาอีกครั้งในโอลิมปิก 2020
แต่ไม่ว่า”ลีชองเหว่ย”จะไปหรือไม่ไป โลกแบดมินตันไม่มีวันลืม”เทพลี”ในวงการลูกขนไก่แน่นอน