สำหรับโลกแบดมินตัน ชื่อของ
Lee Chong Wei ถือเป็นหนึ่งในตำนาน
“ผู้ยิ่งใหญ่” ในกีฬานี้ชนิดยากที่จะหาใครมาเทียบเคียงได้ โดยเป็นชีวิตของนักกีฬาที่โลดแล่นอยู่บนคอร์ตเขียวนาน 19 ปีที่มีครบทุกอย่าง ทั้งความสำเร็จ ความล้มเหลว เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา จนถึงการถูกห้ามลงแข่งขันเมื่อถูกตรวจพบว่ามีการใช้สารกระตุ้นจนถูกริบรางวัล
|
|
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Lee Chong Wei เป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดาที่เกิดมาเพื่อ “แบดมินตัน” กับความสำเร็จที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวมือหนึ่งโลกยาวนานติดต่อกัน 199 สัปดาห์ตั้งแต่ 21 สิงหาคม 2008 จนถึง 14 มิถุนายน 2012 และเป็นแชมป์มากถึง 69 รายการ
ที่สำคัญก็คือ การเป็นแชมป์ 69 รายการนั้น ไม่ได้เป็นแชมป์ในยุคที่ไม่มีคู่แข่ง หากแต่เป็นยุคที่มี 4 Kings ในวงการแบดมินตัน อันประอบด้วย Peter Gade จากเดนมาร์ค Taufik Hidayat จากอินโดนีเซีย Lin Dan จากจีน และเขา Lee Chong Wei |
|
|
|
สำหรับมาเลเซีย ประเทศที่มีเหรียญรางวัลโอลิมปิกเพียง 6 เหรียญ และเขาเป็นเจ้าของเหรียญเงิน 3 เหรียญจากการเข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้งในปี 2008,2012 และ 2016 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Najib Tun Razak นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศว่าเขาเป็น “วีรบุรุษของชาติ”
จากเด็กชายชาวจีนเชื้อสายมาเลย์ การมาถึงจุดความสำเร็จระดับที่ถูกยกเป็น Datuk ในวงการกีฬานั้น ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่ได้มาแบบโชคช่วย หากแต่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อ รอยยิ้มและน้ำตา เพราะนับตั้งแต่ลงแข่งขัน Malaysia Open ในปี 2002 แต่ปีต่อมาคือ 2003 เขาก็ “แนะนำตัว” ให้โลกรู้จัก เมื่อสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แม้จะพ่าย Chen Hong นักแบดมินตันจีนในรอบชิงชนะเลิศ แต่ทุกคนก็จำชื่อ Lee Chong Wei เด็กหนุ่มวัย 20 ได้แล้ว
|
|
|
โดยไม่ต้องรอนาน ในปีนั้น
“แชมป์แรก” ของเขาก็มาจากรายการเล็กๆคือ Malaysia Satellite ก่อนจะขยับขึ้นเป็นแชมป์ระดับใหญ่ในปีถัดมา ด้วยการคว้า 3 แชมป์ในปี 2004 นั่นคือ Malaysia Open ต่อด้วย Singapore Open และ Chinese Taipei Open และในปีนั้น เขาได้เข้าร่วมศึกโอลิมปิกครั้งแรก แต่ต้องตกรอบ16 คนสุดท้าย เมื่อพ่าย Chen Hong อีกครั้ง
แต่หลังจากนั้น ในการแข่งขันโอลิมปิกอีก 3 ครั้งต่อมา Lee Chong Wei ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถเข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้งติดต่อกัน แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยน้ำตา โดยในปี 2008 และ 2012 เขาได้เหรียญเงินเมื่อพ่าย Lin Dan จากจีน และล่าสุดที่ริโอ เด จาเนโร ในปี 2016 ก็ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 3 เมื่อพ่าย Chen Long ได้แค่เหรียญเงินอีกครั้ง
|
|
เช่นเดียวกับ “แชมป์โลก” ในรายการ BWF World Championships ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับเขา เพราะ Lee Chong Wei สามารถเข้าชิงชนะเลิศถึง 4 ครั้งในปี 2011-2015 แต่ก็ต้องเดินออกจากสนามในฐานะ “ผู้แพ้” ทั้ง 4 ครั้ง โดยในปี 2011 และ 2013 เขาแพ้ Lin Dan ที่ถูกคั่นกลางด้วยโอลิมปิก 2012 และปี 2014 กับ 2015 ก็แพ้ Chen Long และปิดท้าย 2016 ก็แพ้อีกครั้งในการชิงเหรียญทองโอลิมปิก 2016 |
|
|
|
แม้จะเป็น “ราชาไร้มงกุฎ” ใน 2 รายการใหญ่คือโอลิมปิกและชิงแชมป์โลก แต่สำหรับการแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ทั่วโลก ยอดนักแบดมินตันชื่อ Lee Chong Wei กวาดแชมป์มาแล้วทุกรายการ ทุกระดับในทุกทวีป โดยรายการใหญ่อย่าง All England เขาเป็นแชมป์ถึง 4 ครั้งในปี 2012 2013 2014 และ 2017 ขณะที่ “ในบ้าน” คือ Malaysia Open ที่เป็นแชมป์ใหญ่รายการแรกของเขานั้น ถือว่าเขาคือ “ราชาตัวจริง” เพราะคว้าแชมป์ถึง 12 ครั้ง รวมทั้งเป็น “แชมป์ครั้งสุดท้าย” ในการเล่นของเขาในปี 2018 ขณะที่รายการอื่นๆ เช่น Indonesia Open ก็เป็นแชมป์ถึง 6 ครั้ง Japan Open เป็นแชมป์ 6 ครั้ง Hong Kong Open ก็เป็นแชมป์ 5 ครั้ง French Open อีก 3 ครั้ง แชมป์เอเชียรายการ Asia Championships อีก 2 ครั้ง รวมทั้ง Super Series Finals อีก 4 ครั้ง |
|
|
แต่ในขณะเดียวกัน Lee Chong Wei ก็มี
“มลทิน”ในการแข่งขัน เมื่อถูกตรวจพบว่าเขาใช้สารกระตุ้น โดยในเดือนตุลาคม 2014 สื่อท้องถิ่นรายงานว่าสมาคมแบดมินตันแห่งมาเลเซียรายงานว่า มีนักกีฬาคนหนึ่งใช้ dexamethasone หลังจากถูกตรวจพบในการแข่งขันชิงแชมป์โลกในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งต่อมา หลังจากการตรวจสอบ Lee Chon Wei ก็ถูกตรวจสอบพบว่าใช้ Dexamathasone ซึ่งแม้จะไม่ใช่ยากระตุ้น หากแต่ใช้เพื่อพักฟื้น แต่เนื่องจากเป็นการใช้ในระหว่างฤดูการแข่งขัน จึงถือว่าทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการใช้สารกระตุ้น และในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2014 BWF ได้ประกาศยืนยันให้ Lee Chong Wei ถูกพักการแข่งขันชั่วคราวเนื่องจากการละเมิดกฎการต่อต้านการใช้สารกระตุ้น โดยการไต่สวนที่อัมสเตอร์ดัมเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2015 ก็จบลงโดย BWF ประกาศในวันที่ 27 เมษายน ว่าเขาจะถูกแบน ห้ามลงการแข่งขันเป็นเวลา 8 เดือน โดยอนุญาตให้กลับมาลงสนามได้อีกครั้งในในวันที่ 1 พฤษภาคม 2015 รวมทั้งถูกริบเหรียญรางวัลรองแชมป์โลก 2014
|
|
การ “กลับมา” หลังพ้นโทษแบน Lee Chong Wei ก็ยังแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นนักกีฬาที่มากด้วยฝีมือ เพราะยังสามารถกลับมาคว้าแชมป์อีกมากมาย ทั้งแชมป์ China Open 2015 , Indonesia Open 2016 , แชมป์เอเชีย 2016 รวมถึงเข้ารอบชิงเหรียญทองโอลิมปิก 2016
แต่สุดท้าย “โชคร้าย” ก็มาซ้ำเติมอีกครั้ง เพราะในเดือนกรกฎาคม Lee Chong Wei ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูก โดยแมทช์สุดท้ายที่เขาลงแข่งขันคือรายการ BLIBLI INDONESIA OPEN 2018 ในรอบรองชนะเลิศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2018 และพ่าย Kento MOMOTA ไป 21-23,12-21 ก่อนบินไปรักษาอาการที่ไต้หวัน และคณะแพทย์แถลงผลการรักษาว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์ |
Lee Chong Wei ยังคงพยายามที่จะกลับมาทำในสิ่งที่เขารักมากที่สุด นั่นคือ
“แบดมินตัน” โดยเป้าหมายคือโอลิมปิก 2020 ที่มหานครโตเกียว โดยเริ่มการเก็บตัว ฝึกซ้อมทั้งแบบเบาๆและเต็มรูปแบบ แต่สุดท้าย คณะแพทย์ก็ยังไม่ยอมให้กลับมาลงสนาม เพราะเกรงว่าจะเกิดอาการเครียดและมีผลต่อสุขภาพ ส่งผลให้เขาต้องตัดสินใจประกาศเลิกเล่น
ในอนาคต จะไม่มี Lee Chong Wei ในสนามแข่ง แต่สำหรับแบดมินตัน
ไม่มีใครลืมชื่อ Lee Chong Wei ราชาแบดมินตันผู้ยิ่งใหญ่