“You will be well compensated for your efforts on the court, but you will not be permitted to cherry-pick your tournaments, and will be penalised if you fail to turn up at certain tournaments.”
|
|
นี่คือข้อความที่สหพันธ์แบดมินตันโลก(BWF) ส่งถึงนักกีฬาแบดมินตันชั้นน้ำทั่วโลก เพื่อบอกว่า นักกีฬาทุกคนจะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับการลงสนาม แต่จะไม่มีสิทธิ์เลือกรายการแข่งขัน และจะถูกลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม |
และนี่คือการปฏิวัติการแข่งขันแบดมินตันครั้งสำคัญในปี 2018 ที่การแข่งขัน Superseries จะถูกแทนที่ด้วยการแข่งขันที่เรียกว่า World Tour ที่ระดับการแข่งขันต่างๆถูกกำหนดขึ้นมาใหม่โดย "เงินรางวัล" คือผลตอบแทนที่นักกีฬาจะได้รับ แต่จะต้องแลกด้วยการถูกกำหนดให้ลงสนามมากขึ้น โดยเฉพาะนักแบดมินตันระดับทอปของโลก เพื่อดึงดูดให้ผู้คนทั่วโลกมาดูการแข่งขันแบดมินตันมากขึ้น |
|
|
การแข่งขันที่เรียกว่า World Tour แทนที่จะเป็น Superseries และ Superseries Premier เหมือนที่ผ่านมานี้ BWF กำหนดให้ผู้เล่น 15 อันดับแรกของโลกในประเภทเดี่ยวและ 10 อันดับแรกในประเภทคู่ จะต้องลงแข่งขันอย่างน้อย 12 ทัวร์นาเมนต์ และจะลงโทษปรับรุนแรงมากหากไม่ยอมปฏิบัติตาม
|
|
โดยโครงสร้างของการแข่งขันในปฏิทินประจำปีของ BWF ได้แบ่งออกเป็นระดับและระดับต่างๆ Top of the pops คือ Grade1 ซึ่งประกอบด้วยการแข่งขันที่สำคัญทั้งหมด เช่น Olympic, Thomas - Uber Cup, Sudirman Cup, Asian Games, Commonwealth Games และ World Junior Championships |
Grade 2 ได้รับการแบ่งออกเป็นหลายระดับ มีเพียงหนึ่งทัวร์นาเมนท์ใน Level 1 คือ World Tour Finals ซึ่งก็คือ Superseries finals ในช่วงปลายปี ที่ถือเป็นการแข่งขันเพื่อแจกโบนัสให้กับนักกีฬาแบดมินตันที่ทำผลงานได้ดีในวงเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคัดเลือกผู้เล่นชั้นนำ 8 ราย และ 8 คู่ที่ทำคะแนนได้ดีในการแข่งขันมาตลอดปี |
|
|
โดย Superseries Finals นี้ เริ่มจัดในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ดูไบมาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่ง BWF ได้เซ็นสัญญา 5 ปีกับทางการของสาธารณรัฐเอมิเรตส์ และระบุว่าตั้งแต่ปี 2018 เงินรางวัลจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านเหรียญ
จากนั้น ใน Level 2 จะมี 3 ทัวร์นาเมนต์ คือ All-England, Indonesian Open และ China Open ซึ่งเคยเป็น Superseries Premier และมีเงินรางวัลไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญ
|
|
จากนั้น ใน Level 3 จะมี 5 ทัวร์นาเมนต์ ที่เคยเป็น Superseries ที่มีเงินรางวัลสูง 7 แสนเหรียญสหรัฐ คือ Malaysian Open, Korea Open, Denmark Open, France Open และ Japan Open โดยยกเว้น India Open ซึ่งจัดการแข่งขันที่ New Delhi มาตั้งแต่ปี 2008 ที่มีเงินรางวัล 325,000 เหรียญสหรัฐในปี 2017 และเมื่อไม่เพิ่มเงินรางวัล ก็ถูกลดระดับลงไป |
ต่อมาก็เป็นรายการระดับ Grand Prix Gold เดิม เช่น Malaysians Masters, Thailand Open และ Syed Modi Memorial ที่ถูกยกระดับขึ้นมาเป็น Level 4 ซึ่งมีทั้งหมด 7 รายการ และปิดท้ายที่เป็นระดับ Level 5 ซึ่งมีการแข่งขันทั้งหมด 7 รายการ ส่วนระดับที่ต่ำว่า Level 5 ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ International Satellite and Challenger ประกอบด้วย 11 ทัวร์นาเมนต์ ก็จะเป็น Grade 3 ที่เป็นการแข่งขันในทวีป และ BWF จะพิจารณาว่าจะมีกี่ทัวร์นาเมนต์ |
|
|
|
|
ทั้งนี้ BWF จะกำหนดเงินรางวัลสำหรับนักกีฬา 32 คนที่จะถูกเลือกเข้าร่วมแข่งขัน โดยนักกีฬาอันดับ 1-16 ของโลกจะถูกเลือกโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้เล่นที่เหลือจะพิจารณาจากการลงทะเบียนและมีตารางการแข่งขันขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อหาผู้เล่นที่เหมาะสมในแต่ละทัวร์นาเมนต์ ทำให้การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆลงมาจนถึง Level 3 จะลดลงจาก 6 วันเหลือ 5 วัน คือตั้งแต่วันพุธถึงวันอาทิตย์ |
นอกจากทัวร์นาเมนต์ของ BWF แล้ว นักแบดมินตันหลายคนยังมีภารกิจ "ทีมชาติ" สำหรับการแข่งขัน Thomas Cup, Commonwealth Games, Asian Games ซึ่งหมายความว่าผู้เล่นชั้นนำจะต้องมีการแข่งขัน 13-14 รายการในรอบปี จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากแม้ว่าผลตอบแทนทางการเงินจะดีขึ้นก็ตาม |
|
|