บทสรุปสงคราม 3 ศึก "ทัพแบดมินตันไทย"(ตอน 1)
นับเป็นเดือนที่ทัพนักตบลูกขนไก่ไทยต้องแยกทัพออกไปทำศึกในต่างแดนถึง 3 ชุด สำหรับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่ ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย, กีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่ 29 ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน และศึกชิงแชมป์โลก "โทเทิล บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพส์ 2017" ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งผลงานก็แตกต่างกันไป และเราจะมาสรุปผลงานของแต่ละรายการกัน
เริ่มที่ศึก "ซีเกมส์" กันก่อน นักแบดมินตันทีมชาติไทย ชุดนี้ถือว่าทำผลงานได้ทะลุเป้าหมาย และเกินคาดเป็นอย่างมาก ไล่จากประเภททีมหญิงก็ป้องกันแชมป์ไว้ได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และประเดิมเหรียญทองแรก และแม้ทีมชายที่เป็นรองแชมป์เก่าจะพลาดเข้าชิงฯ แต่การพ่ายในรอบตัดเชือกให้กับ "อินโดนีเซีย" จนได้เพียงเหรียญทองแดง ที่เราต้องยอมรับว่าประเภทเดี่ยวเขาดีกว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเสียดายเท่าใด
จากนั้นประเภทบุคคล หญิงเดี่ยวทั้ง "ครีม"บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ ที่เป็นดีกรีแชมป์เก่ารายการนี้ และ "หมิว"พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ ดีกรีแชมป์ประเทศไทย 2 สมัยหลังสุด ต่างแบกรับความกดดัน เพราะต่างต้องการให้ทีมชาติไทยป้องกันแชมป์เหรียญนี้ไว้ได้ แต่กลับพ่ายมือรองไปแบบพลิกความคาดหมาย ทำให้แน่นอนว่าผลงานในประเภทบุคคลคงต้องพิจารณา และแก้ไขด่วน! ส่วนชายเดี่ยว พี่ใหญ่อย่าง "ไบร์ท"สัพพัญญู อวิหิงสานนท์ ก็นับว่าโชคไม่ดีที่เจอแชมป์ครั้งนี้เร็วไปหน่อย หลังพ่าย โจนาธาน คริสตี้ ในรอบ 16 คน ขณะที่ "เพชร"โฆษิต เพชรประดับ การชนะ อิห์ซาน มัวลาน่า มุสโตฟา รอบรองฯ อย่างขาดลอย 2 เกมรวดนั้น บ่งชี้ว่ามีการพัฒนาขึ้น อย่างช้าๆๆ และรอบชิงฯ พ่ายได้เหรียญเงินก็ถือว่ามาไกลไม่น้อย
มาดูที่ประเภทคู่ที่นับว่าเป็นผลผลิตจากโครงการ "เอสซีจี อคาเดมี่" เกือบทั้งหมด เริ่มจากคู่ผสมฟอร์มแรง "บาส"เดชาพล พัววรานุเคราะห์-"ปอป้อ"ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่โชว์ฝีมือได้สมกับเป็นคู่มือ 1 ของรายการ ไล่ตบคู่แข่งย่อยยับ และเสียเพียง 1 เกมในรอบรองฯ เท่านั้น เป็นสิ่งที่การันตีได้ดีว่า "โค้ชโอม"และทีมงานผู้ฝึกสอนของ "เอสซีจี อคาเดมี่" คิดไม่ผิดที่ดันคู่นี้จนก้าวขึ้นมารั้งคู่มือ 7 ของโลกในเวลานี้ ด้านคู่รุ่นพี่ "อาท"บดินทร์ อิสสระ-"เอ็มเอ็ม"สาวิตรี อมิตรพ่าย ที่ผ่านสังเวียนใหญ่อย่างโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่นครรีโอ เดอ จาเนโร แม้ "โค้ชเร็กซี่ ไมนากี้" หัวหน้าผู้ฝึกสอน จะจับรีดน้ำหนักไปหลายกิโลกรัม แต่กลับมีปัญหาในเรื่องของสภาพจิตใจ เห็นได้จากรอบรองฯ เจอ โกห์ ซูน ฮวด-เชวอน เจมี่ ไล ของเจ้าถิ่น เกมสองนำมาอยู่ดีๆ และมีโอกาสปิดแมตช์ แต่กลับไม่นิ่งพอ จนถูกแซงชนะไปในที่สุด นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงแม้จะได้เหรียญทองแดงก็ตาม
ส่วนชายคู่ เป็นอีก 1 ประเภทที่ "อาท"บดินทร์ ซึ่งจับคู่ "ต้นน้ำ"นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร ต้องอกหัก แม้จะเป็นคู่มือ 1 ของรายการ แต่การแพ้มือรอง ออง เยว ซิน-โท เอ อี้ ของมาเลเซีย ถึง 0-2 เกม ด้วยสกอร์ 12-21, 15-21 ก็เป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่เชื่อว่าคู่ อาท-ต้นน้ำ ที่อยู่ในช่วงฟิตเช่นนี้ น่าจะทำผลงานได้ดีสำหรับรายการสะสมคะแนนโลก แม้ซีเกมส์จะได้เพียงเหรียญทองแดง ขณะที่คู่กุมาร ดีกรีแชมป์ในครั้งนี้ "บาส"เดชาพล-"สกาย"กิตตินุพงษ์ เกตุเรน นอกจากเก่งแล้ว ยังเจริญรอยตามโค้ชโอม ที่กับ ปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ ซึ่งเป็นชายคู่ไทยคู่สุดท้ายที่ได้แชมป์เมื่อ 14 ปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ และน่าจะสยบคำกล่าวของบางคนที่บอกว่าคู่นี้ส่วนสูงเป็นอุปสรรคในการเล่นได้แล้ว
หญิงคู่ การเข้าชิงกันเองของคู่สาวไทยนี้ เปรียบเสมือนการรีแมตช์ชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้ครั้งนั้นคู่ "กิ๊ฟ"จงกลพรรณ-"วิว"รวินดา ประจงใจ จะแพ้ "ปอป้อ"ทรัพย์สิรี-"เอิร์ธ"พุธิตา สุภจิรกุล แบบหมดรูป 0-2 เกม 15-21, 5-21 แต่ครั้งนี้เกมแรก คู่ "กิ๊ฟ-วิว"เบียดชนะไปได้ 16-21 บ่งชี้ได้ดีว่าคู่นี้สูสีกัน และทั้งสองคู่ก็เหมาะสมที่จะคว้าเหรียญทอง หรือบอกง่ายๆ "ใครก็ได้" นั่นเอง แต่การที่ "ปอป้อ" บาดเจ็บนั้น เพราะนอกจากพลาดโอกาสเป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้มากสุดคือ 3 เหรียญทอง คงต้องมองถึงอาการเจ็บนั้นหนัก หรือส่งผลกระทบระยะยาวหรือไม่ ซึ่งเราต้องช่วยส่งแรงใจเชียร์กันต่อไป
เมื่อสรุปผลงานของทีพแบดมินตันไทยในซีเกมส์ นี้ที่ทำได้ 4 เหรียญทอง จากทีมหญิง, หญิงคู่, ชายคู่, คู่ผสม และ 2 เหรียญเงิน จากชายเดี่ยว, หญิงคู่ กับ 4 เหรียญทองแดง จาก ทีมชาย, หญิงเดี่ยว,ชายคู่, คู่ผสม ต้องปรบมือให้กับนักกีฬาทุกคน ที่สร้างชื่อเสียงในนามทีมชาติไทยอีกครั้ง และทำได้เกินเป้าหมายของสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ที่ก่อนไปแข่งขันตั้งเป้าไว้ที่ 2 เหรียญทอง แต่ถ้าเจาะลึกลงไปคงต้องตั้งคำถามถึง "เร็กซี่ ไมนากี้" ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อนักกีฬาภายใต้การดูแลทำผลงานได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเราคงต้องดูกันต่อไป เพราะตลอด 8 เดือนที่ ยอดโค้ชชาวอินโดนีเซีย เข้าปรับเปลี่ยนนั้นดูแล้วนักแบดมินตันหลายคนมีความฟิตที่ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าผลงานคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มอง ถ้าไม่มีผลงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ถึงเม็ดเงินจำนวนมากที่ลงไปนั้นคุ้มค่าหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรความสำเร็จนี้เป็นไปในนามทีมชาติไทย และเราก็ภูมิใจกับความสำเร็จนี้ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าความสำเร็จของทีมชาติไทยจะมีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนไทยทุกคนก็พร้อมส่งกำลังใจให้ตลอดไป