สำหรับการแข่งขันกีฬา”ซีเกมส์”นั้น กล่าวได้ว่า”กีฬาสากล” ที่นักกีฬาในภูมิภาคอาเซียนมีฝีมือ”ระดับโลก” ดูจะมีเพียง”แบดมินตัน” ซึ่งนักกีฬาจาก 3 ประเทศ คืออินโดนีเซีย มาเลเซียเจ้าภาพ และไทย ถือเป็น”มหาอำนาจ”ของวงการลูกขนไก่โลก และทั้ง 3 ชาติก็มั่นใจว่าซีเกมส์ครั้งที่ 29 ที่มาเลเซียครั้งนี้ ต่างก็จะสามารถคว้าเหรียญทองได้ตามเป้า
 

สำหรับมาเลเซีย เจ้าภาพ ที่ถือว่า”แบดมินตัน”เป็น”กีฬามหาชน” และเป็นหนึ่งในกีฬาที่รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นกีฬาที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกให้มาเลเซีย และการเข้าชิง 3 เหรียญทองในโอลิมปิกเมื่อปีก่อน แม้อาจจะพลาดเหรียญทองทั้งหมด แต่ถือเป็นการเข้าใกล้เหรียญทองเหรียญแรกในประวัติศาสตร์กีฬาของประเทศ

 

ก่อนซีเกมส์จะเปิดสนาม Morten Frost ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค สมาคมแบดมินตันแห่งมาเลเซีย ซึ่งถือเป็น”นายใหญ่”ในทีมแบดมินตันมาเลเซีย แสดงความมั่นใจว่ามาเลเซีย จะได้ 2 เหรียญทองในซีเกมส์ครั้งนี้ นั่นคือ จากหญิงคู่และคู่ผสม  แต่ก็ยังหวังลึกๆว่านักแบดมินตันชายเดี่ยวมาเลเซียอาจจะสร้างเซอร์ไพรซ์เหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน

แต่สุดท้าย มาเลเซียได้เพียงเหรียญทองเดียวจากหญิงเดี่ยว ซึ่ง Goh Jin Wei คว้าแชมป์เมื่อเอาชนะรุ่นพี่ Sonia Cheah Su Ya ในรอบชิงชนะเลิศ
 

ส่วนอินโดนีเซียนั้น Susi Susanti เจ้าของเหรียญทองหญิงเดี่ยวโอลิมปิกคนแรกของโลก ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา สมาคมแบดมินตันอินโดนีเซีย และรับหน้าที่เป็นผู้เป็นผู้จัดการทีมแบดมินตันอินโดนีเซีย ชุดไปแข่งขันซีเกมส์ มั่นใจว่า อินโดนีเซียจะคว้าเหรียญทองแน่นอน 3 ประเภทเป็นอย่างน้อย นั่นคือ ชายเดี่ยว ชายคู่ และประเภททีมชาย

ผลการแข่งขิน อินโดนีเซียได้แค่ 2 เหรียญทองจากทีมชายและชายเดี่ยว
 

ขณะที่”ไทย” ซึ่งไปแบบไม่มีความกดดัน เพราะมาเลเซียเจ้าภาพเป็นฝาสายแบกรับความกดดันจากแฟนแบดมินตันในประเทศ ก็มองว่าทีมไทยอาจจะได้ 2 เหรียญทองเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนที่สิงคโปร์ จากจากทีมหญิงและหญิงเดี่ยว แต่สุดท้าย นักแบดมินตันทีมชาติไทยกลับสร้างผลงานให้กองเชียร์ทั้งไทยและคู่แข่งตะลึงในผลงาน เมื่อคว้าถึง 4 เหรียญทอง และ”พลาด”ในประเภทที่ทุกชาติยกให้เป็น”เต็งแชมป์”นั่นคือหญิงเดี่ยว

โดยเหรียญทองแรกในซีเกมส์ครั้งนี้คือ "ทีมหญิง" ซึ่งนักแบดมินตันทีมชาติไทย เอาชนะทีมมาเลเซียเจ้าภาพ 3-1 จากหญิงเดี่ยวมือ 1 หญิงคู่มือ 1 และหญิงคู่มือ 2 ขณะที่มาเลเซียชนะไทยจากหญิงเดี่ยวมือ 1
 

เหรียญทองที่ 2 มาจาก ประเภทชายคู่ โดย"บาส – สกาย” เดชาพล พัววรานุเคระห์ กับ กิตตินุพงษ์ เกตุเรน เอาชนะ Ong Yew Sin กับ Teo Ee Yi นักแบดมินตันเจ้าภาพที่เป็นความหวังเหรียญทอง

เหรียญทองที่ 3 มาจากหญิงคู่  "กิ๊ฟ – วิว”  จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ รวินดา ประจงใจ เอาชนะ “เอิร์ธ-ปอป้อ” พุธิตา สุภจิรกุล กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เมื่อปอป้อเจ็บเข่าและยอมแพ้ในเกม 2  
 

เหรียญสุดท้าย มาจากประเภท ประเภทคู่ผสม  "บาส – ปอป้อ” เดชาพล พัววรานุคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เอาชนะ Goh Soon Huat กับ Shevon Lai Jemie คู่ผสมจากเจ้าภาพที่นักแบดไทย”แพ้ทาง” โดยเจอมา 2 ครั้งในปีนี้และคู่ของไทยแพ้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่เมื่อถึงรายการสำคัญ คู่นักแบดไทยกลับโชว์ฟอร์มได้ดี เอาชนะแบบกองเชียร์มาเลย์ช็อคทั้งสนาม

นอกจากนั้น ทีมแบดมินตันไทย ยังได้ 2 เหรียญเงิน คือจาก”เอิร์ธ-ปอป้อ” ที่ยอมแพ้หลังบาดเจ็บในการชิงหญิงคู่กับนักแบดมินตันรุ่นน้อง”กิ๊ฟ-วิว”แล้ว เพชร – โฆษิต เพชรประกับ ก็ยังเข้าชิงเหรียญทองชายเดี่ยว ก่อนจะพ่าย Jonatan Christie มือวางอันดับ 1 และเต็งหนึ่งจากอินโดนีเซีย
 

ส่วนเหรียญทองแดง ไทยได้มาถึง 4 เหรียญ นั่นคือ จากทีมชายที่แพ้อินโดนีเซียในรอบรองชนะเลิศ ตามด้วย”หญิงเดี่ยว” จากหมิว พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ ชายคู่ "อาร์ท – ต้นน้ำ” บดินทร์ อิสสระ กับ นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร  และคู่ผสม : "อาร์ท – เอ็มเอ็ม” บดินทร์ อิสสระ กับ สาวิตรี อมิตรพ่าย

4 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง แสดงให้เห็นถึง”ความสำเร็จ”ของทีมแบดมินตันไทย และในอีก 2 ปีในซีเกมส์ครั้งหน้า นักแบดมินตันไทยจะต้องทำงานและฝึกซ้อมหนักขึ้น เพราะถึงตอนนั้น ทั้งหมดจะรู้ว่าการ”ป้องกันแชมป์”นั้นยากกว่า”เป็นแชมป์”

และเป็นความท้าทายของนักกีฬาทุกคน